BACK TO EXPLORE

Dry Clean Only เสื้อวินเทจแบรนด์ไทยที่แลกมาด้วยประสบการณ์ชีวิตสุดเข้มข้น

Dry Clean Only เสื้อวินเทจแบรนด์ไทยที่แลกมาด้วยประสบการณ์ชีวิตสุดเข้มข้น
ความเก๋ของงานดีไซน์จากสมองคนไทยทำให้ศิลปินอินเตอร์ยังต้องซื้อไปใส่

ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนที่เราจะเดินไปลาออกจากการเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วมั่นใจว่าฝันของเราจะไปทางไหนต่อไปแบบไม่มีปริญญามาการันตี แต่สำหรับไทยดีไซเนอร์วัย 34 ปี ผู้สร้างแบรนด์ Dry Clean Only คนนี้ เบสท์ – ปฏิพัทธ์ ชัยภักดี เขามีความชัดเจนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องรอดและต้องสู้ในวงการแฟชั่นไปให้ได้อย่างสวยงาม

 

วาดรูปไม่ต้องเก่ง แต่ต้องเข้าใจธุรกิจของแฟชั่น
ตั้งแต่เด็กจนโต คุณเบสท์ไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นดีไซเนอร์ เขาไม่ได้ชอบวาดรูป และยอมรับว่าถึงทุกวันนี้ก็ยังวาดได้ไม่สวย เพราะแฟชั่นสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องของศิลปะ แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ อ่านแล้วอาจจะงงว่าทำไมเขาถึงดังไปไกลถึงตลาดเมืองนอกได้ เขาเลยเล่าให้ฟังว่า “เราเป็นคนชอบทำธุรกิจด้านแฟชั่นมากกว่า ตอนเด็กเราชอบจำลองการขายของ เล่นขายของคนเดียว

“พอมาเรียนที่คณะออกแบบแฟชั่นในมหาวิทยาลัย เราเรียนถึงแค่ปี 2 เพราะเราไม่ได้มีความสนใจด้านอื่น อย่างการเรียนในบ้านเราจะบังคับให้เรียนวิชาอื่นที่ไม่ใช่แฟชั่น เราจะไม่ให้ความสนใจเลย ไม่เข้าหัวเราเลย เราจะทำได้ดีเฉพาะแฟชั่น คิดว่าจะเสียเวลาถ้าต้องเรียนต่ออีก 2 ปีเลยตัดสินใจลาออกแล้วไปฝึกงานกับอาจารย์ที่มาสอน ที่บ้านไม่มีใครเห็นด้วย แต่ก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าจะไม่เรียนต่อแล้วนะ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งตัดสินอะไรเรา ขอเวลา 4-5 ปีแล้วจะรู้ว่าเหตุผลที่เราไม่เรียนต่อคืออะไร เราก็มั่นใจว่าการตัดสินใจวันนั้นต้องพิสูจน์ให้ได้ เพราะเราไม่มีใบปริญญา เราต้องทำในสิ่งที่บอกว่ารอดูให้ได้จนเป็นทุกวันนี้ก็มากกว่าคำตอบแล้วว่าเราไม่เรียนทำไม ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เคยขอตังค์พ่อแม่อีกเลยจนทุกวันนี้”

 

เงินเก็บ 20,000 บาทกับการสร้างแบรนด์
หลังจากลาออกคุณเบสท์ก็ฝึกงานไป ทำงานอื่นไปด้วยเพื่อดูว่าธุรกิจนี้เป็นยังไง เป็นทั้งผู้ช่วยสไตลิสต์ ทำหนัง ทำโฆษณา ทำมิวสิควิดีโอ ลองมาเกือบทุกอย่างจนรู้สึกว่าอิ่มตัว เขาบอกว่ามีเงินน้อยก็ใช้น้อย พอมีเงินเก็บก้อนหนึ่งก็ตัดสินใจทำแบรนด์เล็กๆ แต่สไตล์ของเขาชัดมากและเป็นแบรนด์แรกๆ ในสายแฟชั่นที่เลือกเสื้อวินเทจมือสองมารีเมคใหม่ มาในคอนเซปท์หยิบเสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้ เพราะเขาไม่ได้มีทุนเยอะ เอามาทำในแบบฉบับใหม่ สุดท้ายได้รับผลตอบรับดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“ปี 2007 เรามาเปิดหน้าร้านเล็กๆ ที่จตุจักร ทำคนเดียว เป็นวันแมนโชว์ ออกแบบเสื้อเอง เฝ้าร้านเอง แต่มีช่างทำให้อยู่ 2-3 คน ช่วงแรกเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแพทเทิร์น ก็ทำเสื้อผ้าให้เป็นการตกแต่งประดับประดาในแบบงานคราฟท์ จะไม่แตะสิ่งที่ไม่รู้หรือไม่ถนัด ผ่านไป 5-6 ปี คิดว่าจะทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องมารื้อมาสร้างด้วยการ reconstruction ใหม่หรือเอาวัสดุตามยุคสมัยมาใช้เปลี่ยนไป”

“เรามีแมททีเรียลอยู่แล้ว และนำเทรนด์มาผสม อาจจะเป็นสีหรือผ้า ต้องเป็นคนที่หูตากว้างไกล แล้วเอาของต่างๆ มาเบลนด์ให้ได้ เราทำงานเซ็ตเดียวไม่ได้ดูว่าทำเพื่อคนไทยหรือต่างชาติ ดังนั้นงานจะมีความเป็นสากล อย่างที่เรามาขายใน The Wonder Room สยามเซ็นเตอร์ คนต่างชาติที่มาซื้อจะเป็นแนวเกาหลี ฮ่องกง เอเชีย ยุโรป คนไทยอาจจะมองว่าเราใช้ของมือสองแต่ทำไมราคาสูง เขาเอาไปทำเองก็ได้ ทำงานประดิษฐ์ใส่ไปบนเสื้อ ซึ่งตอนแรกอาจจะเป็นแบบนั้น แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นธุรกิจ ก็ต้องมีแพลน แล้วเราใส่เอกลักษณ์อย่างอื่นที่เขาทำเองไม่ได้ จริงๆ แล้วกลุ่มคนไทยที่ชอบและติดตาม Dry Clean Only ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ”

 

 

สวยและเก๋จนบียอนเซ่ยังอยากใส่!
คนจะฮอต ยังไงก็ฉุดไม่อยู่จริงๆ เพราะหลังจากขายที่จตุจักร มีบายเออร์จากญี่ปุ่นมาเห็นเสื้อผ้าและสั่งซื้อไปทำตลาดที่ญี่ปุ่น แล้วไปต่อที่ปารีสได้ทำโชว์รูมซึ่งคนให้ความสนใจค่อนข้างดี ในซีซันหนึ่งก็มีบายเออร์มาซื้อเสื้อผ้า 20-25 เจ้า แต่ที่ทำให้ Dry Clean Only ดังมากในอเมริกา มาจากความไม่คาดฝันและทำให้แบรนด์นี้เป็นที่สนใจของคนในวงการแฟชั่นไปทันที “ปีที่แล้วได้ลง Vogue US เพราะเสื้อเรามีขายที่นิวยอร์ค แล้วมีสไตลิสต์บียอนเซ่ซื้อไปแล้วบียอนเซ่เอาไปใส่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเลยเป็นธรรมชาติ เราไม่ได้มีงบพีอาร์ เขามาซื้อไปใส่ ต้องเกิดจากความชอบของเขาจริงๆ เรารู้ตอนที่เห็นเสื้ออยู่บนตัวเขาแล้ว ก็ปลื้มบวกตกใจนิดหน่อย จริงๆ เบสท์ก็แฮปปี้ที่เสื้อเราอยู่กับลูกค้าทุกคน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเซเล็บ แต่มีดีใจที่เห็นเขากลับมาซื้ออีก ให้ผู้ช่วยเขียนอีเมลมา ก็เป็นเหมือนรางวัลเล็กๆ ของคนทำเสื้อ ทางโว้คก็เขียนถึง เลยดูเหมือนเราเติบโตที่อเมริกาได้ดี”

อย่างหนึ่งที่เราชอบตัวตนของเขาคือการดึงตัวเองกลับมาสู่จุดเดิมเพื่อทำงานที่ดีต่อไป “เวลาดีใจ เราไม่ได้ชื่นชมกับตัวเองนาน เพราะเราต้องไปต่อใหม่ เรื่องเมื่อวานก็เป็นของเมื่อวาน ไม่งั้นเราจะเหลิง ถ้าเรามั่นใจว่าเราประสบความสำเร็จแล้วเราจะกลายเป็นคนขี้เกียจไปทันที เพราะฉะนั้นชื่นชมได้ซักระยะ เราก็ต้องกลับมาทำงานเป็นสิ่งที่พิสูจน์ของเรา คนอยากดูสเต็ปต่อไปของเรามากกว่า”

 

 

สไตล์คือไม่มีกฎตายตัว
Dry Clean Only หยิบจับทุกอย่างมาทำงานได้หมด คุณเบสท์เปิดใจกับทุกวัสดุ “อย่างคอลเลคชั่นล่าสุดที่เราเอาเสื้อกระทิงแดงมาทำใหม่ เป็นความ cliché ในแบบไทยๆ มองย้อนกลับไปแล้วมีความสุข ทำให้ทุกคนหันมาจับตามอง เป็นเหมือนระเบิดเล็กๆ ที่ดึงดูดคนอื่น ยิ่งทำให้เราต้องอ่านมากขึ้น ขยันขึ้น เราต้องหนีงานตัวเอง ไม่แข่งกับใครเลย วันนี้เราอาจชอบตัวเองระดับ 8 แต่พรุ่งนี้อาจไม่ชอบก็ได้ เราสนใจทุกอย่างการกินการเดิน ออกมาข้างนอก ตอนนี้คนชอบกินชานมไข่มุก สภาพอากาศเป็นแบบนี้ คนอยากซื้อของมั้ย ลูกค้ามาซื้อเสื้อของ Dry Clean Only แล้วจะใส่ยังไงก็ได้ สิ่งที่เราคาดหวังคืออยากให้คุณเอาไปผสมใส่กับอย่างอื่น ไม่ใช่ทุกสิ่งต้องเป็น Dry Clean Only แบบนั้นมันเลี่ยน ไม่ใช่กระโปรง รองเท้า เราอยากให้คนไปมิกซ์แอนด์แมทช์กับแบรนด์อื่น แค่ต้องรู้ความต้องการของตัวเอง ไม่มีอะไรเป็นกฎข้อบังคับ”

 

ผู้หญิง Dry Clean Only ต้องมั่นใจแต่อ่อนน้อม
สรุปออกมาง่ายๆ ว่าคาแรคเตอร์ของแบรนด์คือคนที่มั่นใจ รู้ความต้องการของตัวเอง แต่ในเวลาเดียวก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนน้อม ติดดิน รู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีกาลเทศะ แรงแต่เรียบร้อย

และสำหรับตัวของเขาเอง คุณเบสท์ยอมรับว่าเขาคือคนที่ขบถ ต่อต้านทุกเรื่องลึกๆ แต่ก็รู้จักว่าเมื่อต้องอยู่ในสังคม ทุกอย่างส่งผลต่อกันหมด “เราแหกกฎตั้งแต่การไม่เรียนแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าไม่เรียนแล้วปิดกั้นตัวเองนะครับ โลกของเรากระหายในการอ่านหนังสือ เข้าไปดูเว็บไซต์ หาตัวเองจนเจอว่าถ้าเรา 60-70 ปี เราก็ยังสนใจเรื่องนี้อยู่ เรายังเครซี่และมีแพชชั่น และเราทำงานออกมา ไม่ใช่มีคนทำมาแล้ว 10 คน เราเป็นคนที่ 11 เราต้องการเป็นคนที่ 1 ในสเตจนั้นให้ได้”

แรงบันดาลใจของเบสท์คือตัวเราเอง พอเราจะท้อหรือเหนื่อย ก็มาย้อนคิดว่าตอนแรกเราเป็นยังไง แล้วย้อนกลับมาจุดเริ่มต้น ต้องพาเราไปไกลกว่าที่เราเคยมา แต่ทุกอย่างก็มาจากเพื่อน ครอบครัว และคนรักด้วย เอาจุดดีของแต่ละคนมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ เราก็ภูมิใจนะครับ เราเลี้ยงดูตัวเอง ลูกน้องและผู้มีพระคุณ แต่ยังไม่สุด เราอยากมีเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ มีโจทย์ให้เราแก้ต่อไปให้ได้” สิ่งที่เขาบอกจะถ่ายทอดออกมาเป็นคอลเลคชั่นใหม่ๆ ของ Dry Clean Only ให้เราจับตามองไปอย่างไม่รู้จบ มาดูผลงานและช้อปผลงานได้ที่ร้าน The Wonder Room ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์

YOU MAY ALSO LIKE