BACK TO EXPLORE

10 หนังแห่ง LGBTQ ที่ทรงพลังที่สุดในวงการหนังของโลก!

สยามเซ็นเตอร์เชื่อความความอิสระและความภูมิใจในแบบที่เราเป็น คือคุณค่าอันแท้จริงของคนแต่ละคน เพื่อให้ได้เข้าใจหัวใจของความภูมิใจนี้ ในวงการภาพยนตร์ได้เกิดหนังดีๆ แนว LGBTQ ขึ้นมามากมาย และ 10 เรื่องนี้คือหนังในตำนานที่ทรงพลังที่สุด เช็คเลยว่าคุณดูกันแล้วหรือยังกับ…

 

1.   My Own Private Idaho (1991)

เรื่องนี้เป็นหนังที่เปิดตัวความหล่อสุดขีดของคีอานู รีฟส์ และริเวอร์ ฟินิกซ์ เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเกย์และโตมาแบบไม่มีแม่ หนังเล่าเรื่องการใช้ชีวิตของโสเภณีชาย และเพื่อนรักสองคนที่มีจุดหมายในชีวิตที่ดำเนินอยู่ในเรื่องเดียวกัน ริเวอร์ ฟินิกซ์เล่นเป็นไมค์ โสเภณีชายที่ขาดแม่ ส่วนคีอานูเล่นเป็นสก็อต ลูกค้าชายที่เขาแอบมีใจให้ และสก็อตนี่เองที่บอกว่าเขาจะยอมมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ถ้ามีคนยอมจ่ายเงินให้เขา เรื่องนี้โชว์ฝีมือการแสดงของริเวอร์ ฟินิกซ์อย่างที่ไม่มีใครจะลืมได้ ถึงแม้เขาจะจากโลกนี้ไปนานแล้วก็ตาม ส่วนคีอานูก็เล่นได้เลือดเย็นต่างจากภาพฮีโร่ผู้ถูกเลือกในแมทริกซ์ไปเลยอย่างสิ้นเชิง ต้องหาดูให้ได้เลยนะเรื่องนี้

 


 

2.   Philadelphia (1993)

ทอม แฮงค์สได้รับรางวัลออสการ์ดารานำชายจากเรื่องนี้เลย เขาเล่นเป็นทนายความ แอนดรูว์ แบคเก็ท ที่ไม่ยอมบอกโลกว่าเขาเป็นเกย์ เขาทำงานในบริษัทกฎหมายขนาดใหญ่ในเมืองฟิลาเดลเฟีย แต่เพื่อนร่วมงานที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของเขา เป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้ของเขา ทำให้เขาโดนไล่ออกจากบริษัท เขารู้สึกไม่เป็นธรรมจึงทำเรื่องฟ้องเรื่องนี้ขึ้น ทอม แฮงค์สเล่นดีจนชนะใจทุกคน เขาเล่นเป็นคนที่ป่วยลงเรื่อยๆ ได้แบบที่คนดูจะเห็นใจเขา และเข้าใจคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ในยุคนั้นมากๆ แอนโตนิโอ แบนเดอรัสเล่นเป็นคู่รักของเขาด้วย



3.   Happy Together (1997)

หนังที่ดีงามมากเรื่องหนึ่งของหว่องกาไว เป็นเรื่องของคู่รักชาวเกย์ฮ่องกง ที่เดินทางไปยังบัวโนสไอเรส เหลียงเฉาเหว่ยและเลสลี่ จางเล่น เรียกว่าเป็นหนังอินดี้ที่ดังมากๆ ในปีนั้น พวกเขาอยากไปน้ำตกเอกวาซูในอาร์เจนติน่าด้วยกันสักครั้ง แต่การเดินทางของพวกเขา เป็นเรื่องของการยึดมั่นในความรัก อารมณ์เหงาๆ ในความรัก จนทำให้เกิดความขัดแย้งในใจกัน เรื่องนี้พี่เหลียงเฉาเหว่ยตีบทแตกมาก แค่หน้า และแววตาของเขาก็บอกได้ทั้งหมด ฉากเลิฟซีนฮอตมาก และมือที่สามที่เข้ามาในชีวิตของทั้งสอง หนุ่มชาวใต้หวันก็แอบจิกกัดประเด็นการเมืองในเวลานั้น ที่ฮ่องกงเพิ่งถูกตกไปอยู่ในมือของจีน เรื่องนี้หว่องกาไวทำสีของทั้งเรื่องให้คอนทราสท์มาก ไม่มีความคลุมโทนใดๆ ดูแล้วเราจะเห็นความรักบางอย่างอันรุนแรงในใจได้เลย



4.   Boys Don’t Cry (1999)

หนังแจ้งเกิดของฮิลารี่ แสวงค์ เธอเล่นได้ดีมากๆๆๆๆ เป็นเรื่องของทรานส์เจน หนังทำขึ้นเพื่อบอกให้โลกได้รู้จักกับกลุ่มรักข้ามเพศนี้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่งที่พบว่าตัวเองอยากเป็นผู้ชาย และพยายามใช้ชีวิตแบบผู้ชายจนโดนคนเข้าใจว่าเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ และเรื่องนี้ทำให้ฮิลารี่ แสวงค์ได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงนำยอดเยี่ยมไป ประเด็นคือหลังจากที่ใครๆ ก็รู้ว่าแบรนดอนนั้นไม่ใช่ผู้ชาย พวกเขาก็ปฏิบัติกับเธอเปลี่ยนไป จนเธอต้องเจอกับความโหดร้ายของโลก หนังเรื่องนี้ทำให้โลกกระตุกถึงกลุ่มคนข้ามเพศเมื่อ 20 ปีที่แล้วด้วย


 

5.   Before Night Fall (2000)

เรื่องนี้รวมดาราตัวพ่อมากๆ มากันทั้งจาเวียร์ บาร์เด็ม, จอห์นนี่ เดปป์, โอลิวิเยร์ มาร์ติเนซ, ฌอน เพนน์ก็ยังเล่นด้วยนะ เป็นเรื่องของนักกวีและนักเขียนชาวคิวบาที่เล่าเรื่องของเขาไปตั้งแต่เกิดจนตาย เขาได้ร่วมกับการปฏิวัติของฟิเดล แคสโตร เขามีความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียดมาโดยตลอด และก็เปิดเผยพฤติกรรมรักเพศเดียวกันของเขาด้วย งานเขียนเกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วลของเขานั่นเอง ที่ทำให้เขาเดือดร้อน เขาติดคุกไป 2 ปี และเขียนจดหมายโต้ตอบกับเพื่อนที่เขาเคยอยู่ด้วยที่แมนแฮตตัน ถึงเขาจะโตมาในสังคมที่ยากจน แต่เขาก็เปิดเผยที่จะบอกโลกถึงจิตวิญญาณอันเซนซิทีฟของเขาผ่านบทกวี

6.   Brokeback Mountain (2005)

เรื่องนี้เป็นหนังรักที่ซาบซึ้งมากเรื่องหนึ่ง ความรักของสองชายที่กว่าจะรู้จักหัวใจตัวเองกันก็ต้องให้เวลาแยกพวกเขาให้ห่างกันไปเสียก่อน ฮีธ เลดเจอร์ และเจค จิลลาฮาลแสดงผ่านสายตากันเปรี้ยงปร้างมาก พวเขามาเจอกัน และใช้ชีวิตด้วยกันในหุบเขาแห่งหนึ่ง เขาทำงานด้วยกันอยู่ที่นั่น แต่ก็มีอะไรคลุมเครือๆ ตลอด และทั้งสองมีครอบครัวกันแล้ว เมื่อเขาต้องแยกจากกันเท่านั้นล่ะ เขาถึงรู้หัวใจตัวเอง และได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เรื่องนี้ทำอะไรกับความรู้สึกตอนดูมาก กินใจ นับถือฝีมือการแสดงของดารานำทั้งสอง แล้วก็เข้าใจในความรักของชายกับชายมากขึ้นเยอะ



 

7.   Blue Is The Warmest Colour (2013)

ความรักของเด็กสาวสองคนก็สวยงามได้ เหมือนกับเรื่องของอเดล เด็กผู้หญิงขี้อายวัยมัธยมที่เธอได้พบกับผู้หญิงผมสีฟ้าขณะข้ามถนน และรู้สึกถูกดึงดูดเข้าไปหาเธอคนนั้นทันที อเดลเดทกับเพื่อนหนุ่มแต่เธอกลับไม่มีความสุข จนมาได้จูบกับเพื่อนสาวของตัวเอง เธอถึงรู้ว่าตัวเองชอบผู้หญิงด้วยกัน หนังเล่าเรื่องอเดลตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนไปถึงวัยทำงาน คนดูจะเห็นเลยว่าพอเธอโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องก็เริ่มยากขึ้นแล้ว ความรักอย่างเดียวอาจเอาไม่รอด หนังเพลินๆ น่ารัก มีเรื่องของความรักที่เข้มข้นเหมือนกันนะ

 

8.   Call Me By Your Name (2017)

คือหนังรักที่สวยงามที่สุดของชายหนุ่มกับชายหนุ่ม ได้รับคำวิจารณ์ว่ายอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์ระดับโลกหลายๆ คน เป็นเรื่องของหนุ่มน้อยชาวอิตาลีที่ตกหลุมรักกับหนุ่มนักเรียนอเมริกันอายุมากกว่า ที่มาอยู่กับครอบครัวของเขาในช่วงซัมเมอร์ จากความเป็นเพื่อนก่อเกิดเป็นความรัก มีฉากเป็นดินแดนเมดิเตอเรเนียนอันสวยงาม การเล่าเรื่องสวยงาม นุ่มนวลมาก เรียกว่าหนังส่งความฮอตของทั้งสองออกมาเป็นระยะๆ และสุดท้ายเขาก็ห้ามใจกันไว้ไม่ได้ แต่ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดในที่สุดอยู่ดี เป็นเรื่องที่ดูแล้วจะเตลิดสุดๆ


9.   Beach Rats (2017)

โลเคชั่นของเรื่องนี้คือเมืองบรู๊คลิน นิวยอร์ค หนังติดเรทพอควร เป็นเรื่องของหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่วันๆ ไม่ทำอะไร เขาเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายและมีคำถามเรื่องเพศของตัวเอง เขาเลยคบทั้งผู้หญิงและเข้าเว็บหาคู่เกย์ ประโยคเด็ดของหนังคือ “I don’t really know what I like” ตัวเอกของเรื่องจะพูดออกมาบ่อยมาก ทำให้เราดูแล้วรู้สึกว่าต้องมีเด็กที่สับสนในตัวเองแบบนี้อยู่มากจริงๆ เขาต้องเจอความกดดันจากสังคม ครอบครัว และความเป็นหนุ่มที่สับสน ทำให้วันๆ เขาไม่ทำอะไร และไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับตัวเองจริงๆ เป็นหนังที่ดีเลยนะ


10.        Portrait Of A Lady On Fire (2019)

หนังรักอันสวยงามซาบซึ้งอีกเรื่อง เป็นเรื่องในปี 1770 ที่แมเรียน อาร์ติสท์สาวถูกจ้างให้มาเพนท์รูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่กลังจะแต่งงาน เธอลังเลที่จะเป็นเจ้าสาว และแมเรียนต้องเพนท์เธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว ทำให้แมเรียนต้องสังเกตความเป็นเธอ และแอบรู้จักเธอเงียบๆ ลับๆ ไปในแต่ละวัน จนเกิดเป็นความรักเกิดขึ้น หนังมีความสวยงามของความเป็นผู้หญิงสองคนที่รักกันไปเต็มๆ รักต้องห้าม รักที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ทำให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ใครๆ ดูแล้วจะต้องวาบหวามในความรักตามไป


 

นอกจากภาพยนตร์ในตำนานทั้ง 10 เรื่องแล้ว เตรียมพบกับกิจกรรมสุดอินสไปร์ ปลุกพลังแห่งความรัก และความสร้างสรรค์ได้ตลอดทั้งเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ ที่สยามเซ็นเตอร์

 

YOU MAY ALSO LIKE