PATTRIC BOYLE ในก้าวย่างสู่ Buyer ตลาดเอเชีย
“ที่เห็นทั้งหมดนี้ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย”
ในยุคที่ศิลปินหรือนักออกแบบรุ่นใหม่จำนวนมากอาจชอบพูดถึง”ตัวตน” ของเขาเป็นสาระสำคัญมากกว่าผลงาน แต่ ณัฐกรณ์ กรรณ์แก้ว หรือ “บูม” นักออกแบบหลักคนเดียวของแบรนด์ PATTRIC BOYLE ผู้เป็นเจ้าของคำพูดไม่เป็นแบบนั้น มากกว่าคือ เขายืนยันคำพูดของตัวเองอีกด้วยว่าเขาหมายความแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น
ชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยแต่ช่างคิด มองเสื้อผ้ามากมายในร้านของเขาอย่างภูมิใจและเต็มไปด้วยความรัก แม้ว่าเสื้อผ้าในร้านที่เห็นแทบทุกชิ้นที่เราเห็นจะเป็นเสื้อผ้าที่มีรูปทรงและสีสันค่อนข้างจัดจ้านจนเชื่อได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่อาจเต็มใจดูมากกว่าใส่ แต่เสื้อเหล่านี้กลับสร้างผลลัพท์อย่างตรงข้ามกับชาวต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และชาวตะวันออกกลางจำนวนไม่น้อยที่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ก็จะมุ่งมาหาเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีทองของดิ้นปัก ลวดลายแบบบาร็อคและจินตนาการที่ดูลึกลับบนเสื้อผ้าของเขา
“จริงๆ มันเริ่มมาจากคำแนะนำของพี่เจ้าของร้านซึ่งเป็นดีไซเนอร์คนก่อน เขาแนะนำเราว่าให้ออกแบบเสื้อผ้าอะไรก็ได้ที่เราอยากใส่แต่ไม่กล้า โจทย์ที่ว่านี้เลยเป็นที่มาของงานของเราในทุกๆ คอลเลคชั่น จากนั้นก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนเจอสไตล์ที่ชัดเจนของเราคือการทำลายพิมพ์ งานปักดิ้นทอง ลวดลายแบบบาร็อค และประวัติศาสตร์”
นักออกแบบเสื้อผ้าเล่าต่อถึงการผสมผสานโจทย์และความชอบส่วนตัวของเขา
“พอดีเราเป็นคนชอบเรื่องโบราณ ชอบประวัติศาสตร์ ชอบตำนาน ชอบได้ท่องเที่ยวไปในความคิดเหล่านั้นก็เลยเอาเรื่องราวที่เราชอบมาผสมผสานกับเทคนิคต่างๆ และเล่าเรื่องที่เราสนใจผ่านลวดลายของเสื้อผ้า มันเป็นการเล่าเรื่องที่เราชอบออกมา โดยที่เหมือนเดิมนะ..คือเราไม่ใส่ เราทำเสื้อผ้าที่เราอยากใส่ แต่ไม่กล้าใส่ โจทย์เหมือนเดิม” เจ้าของคำพูดเล่าปนขำ แต่ยิ่งเล่าเราก็ยิ่งเห็นว่าเขาผูกพันกับเสื้อผ้าและงานของเขามากไปกว่าที่ชอบพูดถ่อมตัว
การที่ใครบางคนจะหาตัวจนเจอ อดทนฝึกฝนสร้างฝีมือจนสามารถทำเป็นอาชีพที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กับดีไซเนอร์ของเราคนนี้ก็เช่นกัน แม้ทุกวันนี้หน้าร้าน ลูกค้า และผลงานจะทำให้เขาถูกเรียกได้อย่างชัดเจนเป็น “ดีไซเนอร์อาชีพ” แต่เส้นทางและที่มานั้นไม่ได้ง่ายเลย สิ่งต่างๆ ต้องใช้เวลารอคอย อดทน อดกลั้น และอยู่บนเส้นทางที่คิดว่าไม่อาจสมหวังเป็นเวลาหลายปี
“คือชอบเสื้อผ้ามาตลอดครับ อยากเป็นดีไซเนอร์ พอเรียนจบก็เลยขอคุณแม่ว่าจะเอ็นทรานส์คณะออกแบบแฟชั่น แม่ก็ให้ลอง แต่เราก็..สอบไม่ได้ เอ็นท์ฯ ไม่ติด พอเป็นแบบนี้แม่ก็เลยขอให้เรียนในแบบที่แม่แนะนำก็เลยไปเรียนบริหารธุรกิจครับ ตั้งใจเรียนเพื่อแม่ ได้เกียรตินิยมและก็จบบริหารธุรกิจมา แต่..แต่อะไรรู้มั้ย คือเรียนดีแค่ไหนแต่หางานไม่ได้เลย ผมหางานอยู่หกเดือน สมัครหลายที่แต่ไม่มีใครรับเลย เหมือนทัศนคติหรือความคิดของเรามันไม่ไปกับทางของเขาก็เลยไม่ได้งานเลย”
เขาพูดถึงช่วงที่มีปัญหาอย่างสบายๆ อาจเป็นเพราะแม้มันจะเป็นความล้มเหลวในแง่หนึ่ง แต่ในอีกแง่คือความยากลำบากเหล่านั้นคือประตูบายสำคัญที่เปิดให้เขา “พูด” อย่างเป็นตัวเองอีกครั้ง
“ตกงานมาหกเดือน เลยบอกแม่ว่า..มันคงไม่ได้งานง่ายๆ แน่ๆ งั้นของไปลงเรียนออกแบบเสื้อผ้าได้ไหม จากนั้นก็เลยไปเรียนครับ ไปเรียน Bangkok Fashion School ก็ได้เรียนในสิ่งที่สนใจ พอจบมาก็ได้ไปฝึกงานที่เกรย์ฮาวน์ ฝึกสามเดือนก็มาทำงานที่ PATTRIC BOYLE เป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ ทำผู้ช่วยหกเดือนพี่เจ้าของก็ไว้ใจให้เราเป็นดีไซเนอร์เองเลย จากนั้นก็ทำคอลเลคชั่นของ PATTRIC BOYLE มาจนทุกวันนี้”
เมื่อเล่าถึงเส้นทางการทำงานแล้ว เราเลยคุยถึงกระบวนการในการออกแบบชิ้นงานบ้างว่า..แต่ละครั้งเวลาจะออกแบบอะไรออกมาซักอย่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในการทำงานของเขา และสไตล์ชัดเจนเหล่านี้ได้แต่ใดมา
“อย่างที่บอก เราชอบเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องโบราณเรื่องตำนาน ก็จะดูความสนใจของตัวเองเป็นที่ตั้งว่าเรากำลังสนใจอะไร อย่างคอลเลคชั่นแรกเลยที่ทำให้เกิดสไตล์แบบนี้ก็คือ ตอนนั้นเราสนใจเรื่องอดัมกับอีฟ เลยลองทำลายพิมพ์เรื่องนี้ออกมา มีเรื่องราวสองคน มีงู มีอะไรต่างๆ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่ลูกค้าก็ตอบรับก็เลยมั่นใจ ที่จำได้อีกอันที่รู้สึกดีใจคือมีนักร้องเกาหลีคนนึงมาซื้อไปและเอาไปใส่ถ่ายแบบขึ้นปกอัลบั้มด้วย เราก็ยิ่งภูมิใจ จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาสไตล์มา”
แล้วกระบวนการทำงานของดีไซเนอร์คนนี้ล่ะ เสื้อผ้าลายจัดจ้านแบบนี้เขามีวิธีคิดกันอย่างไร
“ก็ดูจากแรงบันดาลใจก่อนว่าเราชอบอะไร เรานึกถึงอะไรแล้วมันรู้สึกมากๆ แบบอยากเล่ามันออกมา อย่างคอลเลคชั่นไม่นานนี้ผมนึกถึงยูนิคอร์น เพราะปีที่แล้วได้ไปงานแฟชี่นวีคที่ฝรั่งเศสมาแล้วทริปนั้นเราได้ไปเห็นรูปปั้นยูนิคอร์นตัวนึงที่สวยมาก สวยจนกลับมาแล้วยังนึกถึง พอจะทำคอลเลคชั่นก็เลยเอาแรงบันดาลใจนั้นมาทำ ก็เลยศึกษาเรื่องราวของยูนิคอร์น เรื่องเล่าตำนานการล่ามัน เอาเลือดมันไปทำอะไร มีการผจญภัย มีความเชื่ออะไร มีเรื่องอะไรในนั้นก็ศึกษาจนเกิดความคิดและเสก็ตช์เป็นลายพิมพ์ออกมาคร่าวๆ แล้วก็เอาไปคุยกันคนทำกราฟฟิก เล่าให้เขาฟังว่าเราคิดอะไร เราเสก็ตช์อะไร และให้เขาลองพัฒนามา จากนั้นก็แก้ไปมาจนได้ลายที่เราชอบ และค่อยเอามาคิดอีกทีว่าจะนำลายที่ว่าไปทำยังไงกับเสื้อผ้าที่เราขึ้นโครงไว้”
นักออกแบบเล่าเรื่องการทำงานของเขาอย่างสนุกสนาน เราเลยถามถึง “ช่วงที่สนุกที่สุด” ในขั้นตอนของการทำงานของเขา ซึ่งจากที่เดาไว้ว่าช่วงที่สนุกที่สุดของดีไซเนอร์คือตอนที่เสื้อผ้าได้ไปอยู่บนตัวแบบบนแคทวอล์ก หรือตอนได้ถ่ายแฟชั่น แต่..ไม่ใช่เลย..
“ตอนที่สนุกที่สุดของการทำงานคือ ตอนที่ช่างเอาเสื้อตัวอย่างมาส่ง โมเม้นต์ที่เราได้เห็นมันครั้งแรก คือเราจะรู้สึกดีมากๆ เลยที่มันเป็นรูปร่างแล้ว และช่างมักสามารถจะทำให้มันออกมาสวยกว่าที่เราคิดไว้อีกด้วย ตอนนี้มีความสุขที่สุดแล้ว” เขาเล่าถึงประสบการณ์ที่เจอมาหลายต่อหลายครั้งในชีวิตที่ทุกครั้งจะยังคงสดและสร้างพลังใจให้เขาได้เสมอ
และเมื่อมีพลัง เขาก็มองไปยังเป้าหมายในอนาคตอย่างชัดเจน “ในอนาคต เร็วๆ นี้ก็อยากให้เกิด Buyer ต่างประเทศมากขึ้น คือเราเห็นแล้วล่ะว่าเสื้อของเราไปยังตลาดไหน คือตลาดประเทศเพื่อนบ้าน คือเวลาเขามาที่ประเทศไทย เขาก็ต้องมาสยามสแควร์ใช่ไหมเพราะที่นี่คือสัญลักษณ์ของแฟชั่นบ้านเรา และพอมาที่นี่เขาก็มาหาเรา ดังนั้นก้าวต่อไปคือเราอยากไปหาเขามากขึ้น อยากตอบโจทย์ให้เกิด Buyer ต่างประเทศมากขึ้น เพราะเขาสนุกและกล้าใส่เสื้อเรา” (ยิ้ม)
พูดถึงการใส่เสื้อของ PATTRIC BOYLE เราจึงวกกลับมาที่เรื่องราวต้นเรื่องครั้ง..เรื่องของตัวตนคนทำสิ่งเหล่านี้ออกมา
“แล้วตัวตนที่แท้จริงของคุณเป็นยังไง? ถ้าในเมื่อเสื้อผ้าทั้งร้าน และผลงานทั้งหมดนี้มันไม่ใช่คุณเลย?” เราถาม ส่วนเขายิ้มตอบสบายๆ
“อ๋อ ตัวจริงก็แบบนี้เลย ผมเป็นคนไม่แต่งตัว ทุกวันจะใส่เสื้อขาว และก็กางเกงสีดำเรียบๆ แบบนี้ ไม่จัดจ้าน ไม่มีดิ้นทอง คือไม่อะไรเลย มาทำงาน ทำเสื้อผ้าและดูแลลูกค้า”
นักออกแบบยิ้มสบายๆ เหมือนเคยให้กับเสื้อผ้าของเขาทั้งหมดในร้าน
ในโอกาสครบรอบ 35 ปีของแบรนด์ไทยดีไซเนอร์ตำนานแห่งสยามเซ็นเตอร์
เพราะเรารวมความสวยเอาไว้อย่างสะใจ
ทุก Gift List จะได้ดังใจ ที่ OneSiam
ไอเท็มน่ารัก น่าช้อปในช่วงเทศกาลปีใหม่ กับของขวัญหลากหลายสไตล์จาก 3 ศูนย์การค้าใน OneSiam